นางพิมพิลาไลย


นางพิมพิลาไลยหรือนางพิมนั้นเป็นธิดาของพันศรโยธากับนางศรีประจัน บิดามารดาของนางเป็นเศรษฐีทั้งคู่ ทั้งสองตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ท่าพี่เลี้ยง เมืองสุพรรณบุรี นางพิมเป็นหญิงรูปงามมาตั้งแต่เล็กๆ ดังที่ว่า

ทรวดทรงส่งศรีไม่มีแม้น

อรชรอ้อนแอ้นประหนึ่งเหลา

ผมสลวยสวยขำงามเงา

ให้ชื่อเจ้าว่าพิมพิลาไลย

นางพิมได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างกุลสตรีไทยมาตั้งแต่เล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเย็บปักถักร้อย งานบ้านงานเรือน ฝีมือนางพิมนั้นจัดได้ว่าเป็นเลิศในหมู่เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่มีใครมาเปรียบได้

เราอาจพูดได้ว่า นางพิมนั้นก็เป็นเช่นแบบอุดมคติของนางเอกวรรณคดีไทยทั่วไป ที่มีรูปงาม มีฝีมือทางการบ้านการเรือน แต่นางพิมก็มีลักษณะเฉพาะตัวหลายประการ ที่มีส่วนทำให้เรื่องขุนช้างขุนแผนมีความเข้มข้น ดังจะเห็นได้ดังจะกล่าวต่อไปนี้

นางพิม : กุลสตรีหรือสาวมั่น ?

หากเราศึกษานางพิมเพียงจากประวัติพื้นหลังของนาง เราอาจกล่าวได้เพียงว่านางพิมก็เป็นหญิงผู้ดีบ้านนอก ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนให้รู้จักหน้าที่ของแม่บ้านแม่เรือน ซึ่งโดยผิวเผินแล้วนางพิมก็อาจจัดเป็นกุลสตรีได้ ด้วยความที่นางพิมเก่งในด้านการเรือน แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นเหตุผลอันเพียงพอที่จะสนับสนุนความคิดดังกล่าว "กุลสตรี"ในวรรณคดีไทยนั้น ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีคุณสมบัติผิดไปจากนางพิม ผู้อ่านหลายคนอาจจะยกเหตุผลที่ว่า นางพิมนั้นเป็นผู้รักนวลสงวนตัว ซึ่งเป็นคุณสมบัติจำเป็นของกุลสตรี ดังจะเห็นได้จาก ตอนที่นางพิมว่านางสายทองว่าทำตนเป็นแม่สื่อ ชักชู้มาให้ตน โดยตอบนางสายทองไปว่า

นางพิมพิลาไลยครั้นได้ฟัง

ยังแน่นอนอยู่หาพลั้งหาพล้ำไม่

โต้ตอบคดีพี่เลี้ยงไป

น้องนี้ไม่คิดเลยพี่สายทอง

ธรรมดาเกิดมาเป็นสตรี

ชั่วดีคงมีคู่มาสู่สอง

มารดาย่อมอุตส่าห์ประคับประคอง

หมายปองว่าจะปลูกให้เป็นเรือน

อนึ่งเราเขาก็ว่าเป็นผู้ดี

มั่งมีแม่มิให้ลูกอายเพื่อน

จะด่วนร้อนก่อนแม่ทำแชเชือน

ความอายจะกระเทือนถึงมารดา

ถ้าสิ้นบุญคุณแม่มิได้แต่ง

จะพลิกแพลงไปก็ตามแต่วาสนา

จะด่วนร้อนก่อนแม่ไม่เข้ายา

ใช่จะว่าไร้ชายที่ชอบพอ

ถ้ารูปชั่วตัวเป็นมะเร็งเรื้อน

ไม่เทียมเพื่อนเห็นจะจนซึ่งคนขอ

ถ้ารูปดีมีเงินเขาชมปรอ

ไม่พักท้อเลยที่ชายจะหมายตาม

อดเปรี้ยวกินหวานตระการใจ

ลูกไม้หรือจะสุกไปก่อนห่าม

มีแต่แป้งแต่งนวลไว้ให้งาม

ร้อนใจอะไรจะถามทุกเวลา

ทุกข์ใหญ่เหมือนไฟอยู่ในอก

ไหม้หมกก็ไหม้อยู่ในหน้า

ถ้ายามอยากอยู่เหมือนเรากินปลา

ถึงอย่างนั้นจะว่าก็สมควร

มาชมจันทร์เล่นด้วยกันสบายใจ

พี่พูดอะไรเช่นนั้นให้ปั่นป่วน

ถ้ารักนวลสงวนหน้าไว้ให้นวล

อย่ามากวนข้าไม่พูดไม่พอใจ

ไม่สงสัยเลยว่านางพิมเป็นหญิงฉลาด สามารถพูดปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน ไม่ให้สายทองรู้ว่าตนก็พอใจพลายแก้ว อีกทั้งตอนที่นางพิมอ้อนวอนให้พลายแก้วอย่าลวนลามตนที่ไร่ฝ้ายก็แสดงถึงความรักนวลสงวนตัวของนางพิม ตรงที่ว่า

อนิจจาว่าแล้วหาฟังไม่

จะฆ่าพิมเสียที่ไร่นี่แล้วหรือ

รักน้องกลางหนให้คนลือ

อย่างนี้น้องไม่ถือว่ารักน้อง

โดยชั่วถึงตัวมิได้แต่ง

ก็จัดแจงน้องนี้มีหอห้อง

พอควรการแล้วฮันจะปรองดอง

มิให้ข้องขัดเคืองกระเดื่องใจ

ตัวน้องมิใช่ของอันเคยขาย

จะเรียงรายกลางหนหาควรไม่

พิเคราะห์ให้เหมาะก่อนเป็นไร

กลับไปเถิดพ่อแก้วผู้แววตา

อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย

ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา

นางก้มอยู่กับตักซบพักตรา

เฝ้าวอนว่าไหว้พลางพ่อวางพิม

ทั้งสองตัวอย่างอาจเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่า นางพิมเป็นคนรักนวลสงวนตัว เป็นกุลสตรี แต่ถ้าหากวิเคราะห์กันจริงๆแล้ว นางพิมเพียงแต่พูดตามธรรมเนียม ค่านิยมที่ถูกปลูกฝังมา ใจจริงของนางพิม รัก ที่จะทำเช่นนั้นจริงหรือ ? นิสัยจริงๆของนางพิมนั้นเรียกได้ว่า "กล้า" เกินหญิงยุคนั้นทีเดียว เมื่อนางพิมไปฟังเทศน์มหาชาติที่พลายแก้วเป็นผู้เทศน์ จะด้วยความซาบซึ้งจับใจในรสพระธรรมหรือในตัวเณรหรืออะไรก็ตาม นางพิมได้ถวายผ้าสไบของตนให้เณรแก้ว

ทุกคนดลใจให้ศรัทธา

นางพิมเปลื้องผ้าทับทิมพลัน

จีบจบคำรบถ้วนสามที

ยินดีวางลงในพานนั่น

ถวายแล้วนอบนบอภิวันท์

พิษฐานสำคัญด้วยศรัทธา

การกระทำเช่นนี้อาจอนุมานได้ว่า จริงๆแล้วนางพิมถวายผ้าเพราะพอใจในตัวเณรแก้ว มากกว่าซาบซึ้งในรสพระธรรม นางพิมสามารถเลือกจะถวายอย่างอื่นได้นอกจากผ้าสไบ อันถือว่าเป็นของใช้ส่วนตัวของผู้หญิง การกระทำของนางพิมนั้นเข้าข่ายการ "ทอดสะพาน" ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่งเพราะอีกฝ่ายเป็นเณร การแสดงออกเช่นนี้เป็นการกระทำของหญิงที่ออกจะกล้าเกินกรอบสมัยนิยมยุคนั้นเลยทีเดียว

ความฉลาดของนางพิมนั้นไม่ได้มีอยู่แต่ที่การรู้จักใช้คำพูดเพื่อเลี่ยงการเผยความรู้สึก นางพิมยังรู้จักใช้ความฉลาดวางแผนเพื่อให้ได้พบกัยพลายแก้วอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากตอนที่นางพิมโกหกนางศรีประจันว่าพวกทาสีลักฝ้ายไปขาย เพื่อให้นางศรีประจันอนุญาตให้ตนไปไร่ฝ้ายได้

นางพิมพิลาไลยกับสายทอง

ทั้งสองกินข้าวปลาหาช้าไม่

อิ่มหนำสำราญบานใจ

จึงพูดจาปราศรัยกับมารดา

วันนี้ลูกจะไปที่ไร่เหนือ

ฝ้ายเฝื่อแตกกระจายเสียหนักหนา

ลูกจะออกไปดูกับหูตา

จะไว้ใจกับข้าไม่ต้องการ

มันลักจำแนกแจกจ่าย

ซื้อขายกินเล่นไปทั้งบ้าน

ลูกเห็นกับตามาช้านาน

จะว่าขานมันก็ไม่ถนัดใจ

การเป็นกุลสตรีของนางพิมนั้น เป็นไปตามธรรมเนียมที่ได้รับการอบรมกันมา หากนางพิมเป็นกุลสตรีจริง ย่อมไม่ทอดสะพานให้ผู้ชายคนไหน ไม่เป็นใจให้โอกาสใครโดยปราศจากความเห็นชอบของผู้ใหญ่ นางพิมน่าจะเป็นอย่างที่เราเรียกกันว่า "สาวมั่น" เสียมากกว่า

มารยาทและความประพฤติ

อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วว่า นางพิมได้รับการอบรมมาอย่างผู้ดีในเมืองสุพรรณ มีหน้ามีตากว่าผู้หญิงบ้านเดียวกัน โดยปกติแล้ว นางพิมก็มีมารยาทดีสมเป็นลูกคนมีเงิน แต่ถ้านางพิมโกรธ นางพิมก็ใช้วาจาได้ถึงอกถึงใจผู้อ่าน เช่น ตอนที่นางวันทองด่าขุนช้างตอนที่ขุนช้างมาหลอกว่าพลายแก้วตายแล้ว

ครานั้นจึงโฉมนางวันทอง

อยู่ในห้องได้ยินขุนช้างว่า

เสียงแม่ร้องไห้โฮโผล่ออกมา

เห็นหน้าขุนช้างก็ขัดใจ

ใครมาว่าชั่วผัวกูตาย

แกล้งใส่ความร้ายกูจะด่าให้

อ้ายงูเห่าเจ้าเล่ห์ทุกอย่างไป

หม้อใบละสิบเบี้ยสู้เสียมา

กระทืบตีนผางผางกลางประตู

โคตรแม่มึงกูขี้คร้านด่า

กลับเข้าในหอคลอน้ำตา

ทอดตัวโศกาในที่นอน

นางพิมจึงนับว่าเป็นผู้หญิงปากจัดคนหนึ่งในบรรดานางเอกวรรณคดีไทย