สำนวนภาษาและวรรคทอง
ตอนที่๑
ตอนที่สายทองพูดกับพลายแก้วขณะที่สายทองกำลังลงอาบน้ำเพื่อให้สายทองช่วยเป็นแม่สื่อให้ตนกับนางพิม
พลายแก้วพูดกับสายทองเปรียบว่าตนเป็นดังกระต่ายที่หมายปองดวงจันทร์ และเปรียบเทียบสายทองว่าเป็นดังพระอินทร์ที่จะมาช่วยให้กระต่ายได้สมปอง สำนวนที่ใช้ในตอนนี้คือ
กระต่ายหมายจันทร์ หมายถึง ผู้ชายที่หมายปองผู้หญิงที่สูงศักดิ์กว่า
อันเณรน้องเหมือนกระต่ายหมายชมจันทร์ |
อยู่ดินหรือจะดั้นขึ้นไปได |
แต่ตรอมตรอมผอมร่างก็บางไป |
ด้วยทางไกลกลางหาวเมื่อคราวก่อน |
ได้องค์อินทร์แลจะสิ้นสำเร็จตรม |
จะได้ชมกระต่ายสวรรค์จันทร์ผยอง |
อินทราอุปมาเหมือนสายทอง |
พิมน้องเหมือนกระต่ายในวงจันทร์ |
สำนวนที่๒
สายทองโต้ตอบว่าตนก็มิได้รับประโยชน์จากสิ่งที่พลายแก้วขอร้องให้ช่วยแต่อย่างใด หนำซ้ำยังเหมือนเป็นการหาเรื่องใส่ตัวอีกด้วย ในช่วงนี้มีการใช้สำนวนถึง ๒ สำนวนคือ
-เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้ปู เอากระดูกมาแขวนคอ
-ตีงูให้กากิน
สองสำนวนนี้มีความหมายคล้ายกันคือ การทำอะไรลงไปแล้วไม่ได้รับผลตอบแทนเป็นการกระทำที่สูญเปล่า
เนื้อมิได้กินมั่งหนังมิได้ปู |
กระดูกจะแขวนคออยู่เหมือนตัวข้า |
เจ้าได้พิมก็จะได้ยิ้มอยู่อัตรา |
ก็ถูกด่าก็อายแก่สายทอง |
เหมือนตีงูมิได้สู่กันแกงกิน |
กาเหยี่ยวเฉี่ยวบินไปคล่องคล่อง |
แต่นี้ไปพ่ออย่าได้คะนึงปอง |
มิใช่ของควรประคิ่นของกินตาย |
สำนวนที่๓
พลายแก้วพยายามหว่านล้อมสายทองให้ช่วยเหลือตน
เด็ดปลีเหลือใย หมายถึง ตัดไม่ขาดก็หมายความว่าถึงตัดความสัมพันธ์ไปแล้วก็ยังคงเหลือเยื่อใยต่อกันอยู่
เด็ดปลียังมีซึ่งใยเยื่อ |
ได้มาพึ่งแล้วก็เผื่อฉันไว้บ้าง |
ได้พิมเชยหรือจะเลยทิ้งพี่นาง |
ก็เหมือนอย่างหว่านข้าวลงในดิน |
ตอนที่๒
ตอนที่นางสายทองมาพูดหว่านล้อมนางพิมให้ติดต่อกับพลายแก้ว
นางพิมรู้ทันว่าสายทองกำลังทำตัวเป็นแม่สื่อ จึงตอบโต้ด้วยการอธิบายว่ากุลสตรีที่ดีนั้นไม่แคล้ววันหนึ่งต้องมีคู่ครองเป็นแน่แท้ เป็นการแสดงลักษณะรักนวลสงวนตัวของนางพิมพ์
ธรรมดาเกิดมาเป็นสตรี |
ชั่วดีคงได้คู่มาสู่สอง |
มารดาย่อมอุตส่าห์ประคับประคอง |
หมายปองว่าจะปลูกให้เป็นเรือน |
อนึ่งเราเขาก็ว่าเป็นผู้ดี |
มั่งมีแม่มิให้ลูกอายเพื่อน |
จะด่วนร้อนก่อนแม่ทำแชเชือน |
ความอายจะกระเทือนมารดา |
ไปถ้าสิ้นบุญคุณแม่มิได้แต่ง |
จะพลิกแพลงไปก็ตามแต่วาสนา |
จะด่วนร้อนก่อนแม่ไม่เข้ายา |
ใช่ว่าจะไร้ชายที่ชอบพอ |
ถ้ารูปชั่วตัวเป็นมะเร็งเรื้อน |
ไม่เทียมเพื่อนเห็นจะซึ่งคนขอ |
ถ้ารูปดีมีเงินเขาชมปรอ |
ไม่พักท้อเลยที่ชายจะหมายตาม |
อดเปรี้ยวกินหวานตระการใจ |
ลูกไม้หรือจะสุกไปก่อนห่าม |
มีแต่แป้งแต่งนวลไว้ให้งาม |
ร้อนใจอะไรจะถามทุกเวลา |
ทุกข์ใหญ่เหมือนไฟอยู่ในอก |
ไหม้หมกก็ไหม้อยู่ในหน้า |
ถ้ายามอยากอยู่เหมือนเรากินข้าวปลา |
ถึงกระนั้นจะว่าก็สมควร |
มาชมจันทร์เล่นด้วยกันสบายใจ |
พี่พูดอะไรเช่นนั้นให้ปั่นป่วน |
ถ้ารักนวลสงวนหน้าไว้ให้นวล |
อย่ามากวนข้าไม่พูดไม่พอใจ |
สำนวนที่๒ (วรรคทอง)
เป็นคำพูดที่แสดงความรอบคอบของนางพิมที่พูดดักทางขุนแผนตอนที่ขุนแผนมาติดพัน
เป็นเพื่อนแล้วจะเชือนเข้าเป็นชู้ |
มิรู้ที่จะคิดอย่างไรได้ |
คิดว่ารักทักกันมาแต่ไร |
จึงเพ้อพาซื่อไปไม่สงกา |
ตอนที่๓
ตอนที่ขุนแผนลอบหานางพิมที่ไร่ฝ้ายเพื่อแสดงความรักของตนที่มีต่อนางพิม
สำนวนที่๑ (วรรคทอง)
เป็นลักษณะของคำประพันธ์ที่มีการยกความมาเปรียบถึงความรักของขุนแผนที่มีต่อนางพิมไว้อย่างงดงาม
อันความรักหนักแน่นแสนวิตก |
ระอาอกแทบเท่าภูเขาหลวง |
พรหมินทร์อินจันทร์สิ้นทั้งปวง |
ก็บนบวงสิ้นฟ้าสุราลัย |
เชื้อเชิญเมินหน้าไม่มาช่วย |
เห็นคงม้วยไม่หมายผู้ใดได้ |
เว้นแต่เจ้าเยาวยอดผู้ร่วมใจ |
จะผลักพลิกแพลงให้บรรเทาลง ฯ |
สำนวนที่๒ (วรรคทอง)
เป็นคำพูดที่แสดงถึงลักษณะของหญิงในสมัยก่อนที่ต้องอยู่กับกรอบประเพณีที่เคร่งครัดด้วยถ้อยคำที่ตรงไปตรงมา
ถ้าเจ้าแก้วขอแล้วแม่คุณให้ |
น้องดีใจได้พ่อมาเป็นผัว |
ทำชู้สู่หาข้านี้กลัว |
ความชั่วเขาติฉินไม่ยินดี |
สำนวนที่๓ (วรรคทอง)
เป็นข้อคิดที่ปรากฏอยู่ในเรื่องนี้ที่แสดงถึงลักษณะของมนุษย์ซึ่งในเรื่องคือพลายแก้ว
ซึ่งเจ้าเปรียบเทียบคิดจิตมนุษย์ |
หาสิ้นสุดความโลภลงได้ไม่ |
เหมือนของกินหารู้สิ้นไปเมื่อไร |
เป็นวิสัยสังเกตแก่ฝูงคน |
สำนวนที่๔ (วรรคทอง)
เป็นลักษณะคำพูดที่คมคายแสดงถึงความฉลาดของนางพิม ที่แสดงลักษณะความจริงในโลก
ตัวน้องมิใช่ของอันเคยขาย |
จะเรียงรายกลายหนหาควรไม่ |
พิเคราะห์ให้เหมาะก่อนเป็นไร |
กลับไปเถิดพ่อแก้วผู้แววตา |
อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย |
ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา |
นางก้มอยู่กับตักซบพักตรา |
เฝ้าวอนว่าไหว้พลางพ่อวางพิม ฯ |