ครั้นรุ่งแผ้วนภางค์สว่างภพ |
กระจ่างจบทั่งจังหวัดจำรัสฉาย |
จับแสงทินกรดูอ่อนพราย |
เสียงสกุณเกริ่นกรายขยับบิน |
พระพายชายพัดเรณูร่อน |
ลอออ่อนรสสุคนธ์ตรลบกลิ่น |
รื่นรื่นชื่นชวยระรวยริน |
เจ้าเณรน้อยนึกถวิลประหวัดนาง |
นิ่งช้าเพลาจะแสงสาย |
ขยับกายลุกเลื่อนมาหน้าต่าง |
ล้างหน้านุ่งผ้าสบงพลาง |
ห่มดองแล้วก็ย่างลงบันได |
ถึงบ้านพิมเข้าพลันมิทันช้า |
สำรวมอิริยาให้ผ่องใส |
บริกรรมสำคัญมั่นในใจ |
หวังจะให้เจ้าพิมนั้นลงมา ฯ |
นางพิมพิลาไลยกับสายทอง |
อยู่ในห้องจัดแจงแต่งหา |
จะใส่บาตรเณรเช้าทั้งข้าวปลา |
บุหรี่หมากพลูยาหาครบครัน |
กลัวแม่จะเห็นสู้เร้นซ่อน |
เอาซองซ้อนเสียดซุกเสียใต้ขัน |
เณรพลายไยจึงช้ากว่าทุกวัน |
ผันเปิดหน้าต่างก็เห็นตัว |
หลบมิดสะกิดเจ้าสายทอง |
ดูเณรน้องช่างสำรวมราวกับขรัว |
ไม่ไปละข้าไหว้ฉันนี้กลัว |
ยิ้มหัวกระซิกกระซี้กัน |
สายทองเตือนน้องให้ลงไป |
นางพิมพิลาไลยประคองขัน |
แอบหลังบังวุ่นพัลวัน |
พรั่นพรั่นก้าวลงบันไดไป |
ทรุดนั่งตั้งขันลงวันทา |
ไม่อาจแลดูหน้าเจ้าเณรได้ |
เทปรำคว่ำขันประหวั่นใจ |
บุหรี่ใส่ปนปลาทั้งหมากพลู |
ก้มหน้าขึ้นมาบนบันได |
อกใจสะทึกสะเทื้อนอยู่ |
ครั้นถึงหอนั่งบังประตู |
นางสายทองเหลียวดูไม่มีใคร |
กระซิบเณรเพลแล้วอย่าบ่ายนัก |
จะพาพิมน้องรักออกไปไร่ |
รีบไปวัดวามาไวไว |
ไหนเล่าเจ้าเณรเอาเงินมา ฯ |
ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว |
ยิ้มแล้วตอบคำสายทองว่า |
ไม่ลืมคำดอกที่ร่ำเจรจา |
สำเร็จไร่ฝ้ายข้าจะแทนคุณ |
ถ้าได้แล้วเณรแก้วมิให้พี่ |
ไปตะโกนกุฎีให้ดังวุ่น |
ข้าก็บวชสวดเรียนจะเอาบุญ |
รับศีลครุ่นครุ่นไม่กลับกลาย |
ค่อยอยู่เถิดหนาจะลาก่อน |
แล้วจะย้อนไปไร่มิให้บ่าย |
สายทองย่องเยื้องชำเลืองกราย |
เณรพลายไปวัดป่าเลไลย ฯ |
นางพิมพิลาไลยกับสายทอง |
ทั้งสองกินข้าวปลาหาช้าไม่ |
อิ่มหนำสำราญบานใจ |
จึงพูดจาปราศรัยกับมารดา |
วันนี้ลูกจะไปที่ไร่เหนือ |
ฝ้ายเฝือแตกกระจายเสียหนักหนา |
ลูกจะออกไปดูกับหูตา |
จะไว้ใจกับข้าไม่ต้องการ |
มันลักจำแนกแจกจ่าย |
ซื้อขายกินเล่นไปทั้งบ้าน |
ลูกเห็นกับตามาช้านาน |
จะว่าขานมันก็ไม่ถนัดใจ ฯ |
ท่านยายศรีประจันครั้นได้ฟัง |
แกด่าดังยกโคตรเป็นไหนไหน |
อีขี้ชกฉกลักกูหนักไป |
ไวไวแม่พิมออกไปดู |
จับได้ใส่เอาด้วยไม้ตะบอง |
ให้มันร้องเป็นอ้ายเจ๊กที่ขายหมู |
ทั้งลักทั้งกินนินทากู |
เข้าหูบ่อยบ่อยอีร้อยกล ฯ |
นางพิมพิลาไลยได้ฟังแม่ |
เรียกข้าเซ็งแซ่อยู่สับสน |
ลุกมาวุ่นวายเป็นหลายคน |
แบกกระบุงวิ่งซนลงบันได |
นางพิมสายทองทั้งสองรา |
ลงจากเคหาหาช้าไม่ |
ข้าไทตามหลังสะพรั่งไป |
ถึงไร่เข้าพลันในทันที |
ยับยั้งนั่งพุ่มกระทุ่มใหญ่ |
มึงไปเถิดกูจะอยู่นี่ |
อย่าเผอเรอเพ้อไปให้ดีดี |
บ่ายสี่โมงมึงจึงกลับมา |
อีเม้าเต่าหับอีพลับเทศ |
อีตานเปรตอีควายฟังนายว่า |
ฉวยกระบุงแบกไปพอไกลตา |
ก็ร้องเพลงไก่ป่าเก็บฝ้ายพลาง ฯ |
ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว |
เพลแล้วหลีกเลี่ยงลงมาล่าง |
ห่อผ้ากระหวัดลัดลอดทาง |
ย่างเข้าวิหารสำราญใจ |
ครั้นถึงจึงนิมนต์ชีต้นมี |
ฉันหนีเจ้าคุณลงมาได้ |
ชีต้นเมตตาลาสึกไป |
กลับมาบวชใหม่ให้ฉันที |
ชีต้นตามใจไปเถิดหวา |
หาหมากมาฝากกูทั้งบุหรี่ |
เณรแก้วกราบกรานอัญชลี |
ลาเจ้าชีก็สึกด้วยทันใด |
จับผ้าคฤหัสถ์สะบัดคลี่ |
ผลัดแล้วจรลีหาช้าไม่ |
รีบก้าวสาวตีนไปไวไว |
ถึงไร่เข้าพลันทันที |
แอบพุ่มพฤกษานัยน์ตามอง |
พบนางสายทองผู้เป็นพี่ |
ยิ้มพยักทักไปด้วยไมตรี |
มาอยู่นี่นานแล้วฤาพี่นาง |
สายทองเหลือบเห็นเจ้าพลายแก้ว |
สึกแล้วยังยืนอยู่ห่างห่าง |
ยิ้มเยื้อนเบือนบอกเจ้าพลายพลาง |
มาคอยค้างอยู่แต่กินข้าวเช้าแล้ว |
เหลียวเหลียวเขม้นไม่เห็นหน้า |
คิดว่าจะไม่มาแล้วเจ้าแก้ว |
เสียงแกรกแหวกไม้มาต้ำแวว |
ถ้าช้าหน่อยก็จะแคล้วไม่พบกัน |
จะอยู่นี่ไม่ได้ใกล้หนทาง |
ไปซ่อนอยู่พลางตรงนั้นนั่น |
ต้นกระทุ่มพุ่มต่ำเป็นสำคัญ |
จะพาพิมผายผันมาพูดจา ฯ |
ว่าแล้วเท่านั้นนางสายทอง |
เยื้องย่องย่างกลับไปลับหน้า |
เจ้าพลายหมายพุ่มชอุ่มตา |
นวยนาดยาตราทอดตาไป |
แทบต้นกระทุ่มพุ่มชัฏ |
หลีกลัดเริงรามหนามไหน่ |
ค่อยย่องตามช่องพนมไม้ |
เข้าใกล้เห็นพิมผู้ดวงตา |
นั่งร้อยบุปผชาติสะอาดโฉม |
งามประโลมน่ารักเป็นหนักหนา |
จะดูไหนเปล่งปลั่งทั้งกายา |
ดังนางฟ้าลอยฟ้อนชะอ้อนงาม |
จะใคร่ทักด้วยรักกำเริบทรวง |
ยังหนักหน่วงไม่เคยก็คิดขาม |
ปากสั่นหวั่นจิตแต่คิดความ |
ขยับปากแล้วก็คร้ามประหม่าใจ |
เอาความรักหักจิตที่คิดกลัว |
กระถดตัวย่องเยื้องมานั่งใกล้ |
เยื้อนยิ้มทักเจ้าพิมพิลาไลย |
สะดุ้งใจตัวแข็งด้วยความอาย |
มาจากบ้านนานแล้วฤาไรขา |
อนิจจาแม่ออกมาเก็บฝ้าย |
บ่าวไพร่สะพรั่งทั้งหญิงชาย |
ลำบากกายต้องตามเขาออกมา |
เสียดายนวลไม่ควรจะเผือดพักตร์ |
ลมชักชายแดดก็แผดกล้า |
เดินเหนื่อยเมื่อยมึนทั้งกายา |
แสนอุตส่าห์ยอดดีนี่กระไร |
พี่ติดตามมาด้วยความที่รักน้อง |
สายทองบอกบ้างฤาหาไม่ |
ตั้งแต่วันเทศนายิ่งอาลัย |
ครวญใคร่มิได้เว้นอาวรณ์วาย |
ยามนอนตาตื่นทั้งสี่ยาม |
ดังไฟตามติดอยู่ไม่รู้หาย |
ร้อนโรคโศกเสียวอยู่เดียวดาย |
แม่สบายอยู่ฤาประการใด ฯ |
นางพิมพิลาไลยได้ฟังว่า |
ตกประหม่าอกพรั่นหวั่นไหว |
ขวยเขินเมินอึ้งตะลึงไป |
ด้วยไม่เคยพูดเคยเจรจา |
จึงหลีกลดกระถดให้ห่างกัน |
นางผินผันหันเมินสะเทินหน้า |
ชม้อยชม้ายชายดูแต่หางตา |
ไม่ตอบสั่งสนทนาประการใด ฯ |
โอ้ว่าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย |
ไม่พูดเลยเคืองเข็ญเป็นไฉน |
เจ้างามปลื้มลืมแล้วไม่อาลัย |
จงคิดใคร่ครวญดูแต่เดิมมา |
เมื่อเด็กเด็กเล็กเล่นอยู่ด้วยกัน |
สารพันร่วมรักกันหนักหนา |
เมื่อเล่นขอปลูกหอกับแก้วตา |
พี่พาเจ้าหนีขุนช้างไป |
ขุนช้างตามพบมันรบพี่ |
พลั้งตีถูกน้องเจ้าร้องไห้ |
แก้วตามาประหม่าพี่ยาไย |
จงปราศรัยปรองดองสักสองคำ |
เสียแรงสั่งหวังใจกับสายทอง |
มาถึงน้องให้แจ้งที่ความขำ |
กลัวไยใช่พี่จะหยามทำ |
มิให้ช้ำชอกเชื่อพี่เถิดรา ฯ |